Empathy vs Sympathy : “ความเห็นอกเห็นใจ” เข้าใจความต่าง สร้างสัมพันธ์ที่ยั่งยืน

เคยสงสัยไหมคะ ว่า “ความเห็นอกเห็นใจ” กับ “ความเห็นใจ” ต่างกันอย่างไร? สองคำนี้เราได้ยินกันบ่อยๆ แต่ความหมายลึกๆ และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรานั้นแตกต่างกันมากเลยล่ะค่ะ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Empathy vs Sympathy อย่างละเอียด พร้อมทั้งแนะนำวิธีพัฒนา Empathy เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับคนรอบข้าง

Empathy vs Sympathy: เข้าใจความต่าง สร้างสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

เคยไหมคะ ที่เราได้ยินคำว่า “ความเห็นอกเห็นใจ” กับ “ความเห็นใจ” แล้วรู้สึกว่า เอ๊ะ มันต่างกันยังไงนะ? หรือบางทีเราอาจจะใช้สองคำนี้สลับกันไปมาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ! วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความแตกต่างของสองคำนี้กันค่ะ รับรองว่าอ่านจบแล้ว จะเข้าใจแจ่มแจ้ง แถมยังนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย!

ทำไมต้องเข้าใจความต่าง?

หลายคนอาจจะคิดว่า “ก็แค่คำสองคำ จะต่างกันไปทำไมนักหนา?” แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ นี้ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับความสัมพันธ์ของเราได้เลยนะ

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเพื่อนของเรากำลังอกหัก เราอาจจะพูดว่า “เสียใจด้วยนะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเลย” นี่คือการแสดง “ความเห็นใจ” (Sympathy) ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้าเราอยากจะแสดง “ความเห็นอกเห็นใจ” (Empathy) เราอาจจะพูดว่า “ฉันเสียใจที่เธอต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ฉันเคยผ่านช่วงเวลาที่คล้ายๆ กันมาก่อน มันเจ็บปวดมากเลยใช่มั้ย?” เห็นไหมคะ ว่าแค่เปลี่ยนวิธีพูดเล็กน้อย ความรู้สึกที่ส่งไปก็ต่างกันแล้ว

การเข้าใจความแตกต่างของ Empathy และ Sympathy จะช่วยให้เรา:

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้นกับคนรอบข้าง
  • เป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น และสามารถให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เข้าใจความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
  • ลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจอันดีในสังคม

ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเจาะลึกกันเลยดีกว่าค่ะ ว่า Empathy และ Sympathy แท้จริงแล้วคืออะไร และต่างกันอย่างไร?

ความหมายของ Empathy ที่มากกว่าแค่ “เข้าใจ”

ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) คือการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเรากำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความหมายของ Empathy เลยค่ะ Empathy คือการที่เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของอีกคนได้อย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเรากำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ มันไม่ใช่แค่การรับรู้ว่าเขาเศร้าหรือดีใจ แต่คือการ “สัมผัสความรู้สึกนึกคิดของเขา” และมองโลกผ่านสายตาของเขาจริงๆ

ลองนึกถึงตอนที่เราทำโทรศัพท์หายเป็นครั้งแรก ใจหายวาบเลยใช่มั้ยคะ? ความรู้สึกกลัว กังวล สับสนตีกันวุ่นวายไปหมด ถ้ามีเพื่อนมาบอกเราว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่โทรศัพท์เอง” เราอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ เขาไม่ได้เข้าใจเราเลยนี่นา แต่ถ้าเพื่อนพูดว่า “ฉันเข้าใจเลยว่าเธอรู้สึกยังไง ตอนฉันทำโทรศัพท์หาย ฉันก็ใจหายเหมือนกัน กลัวว่าข้อมูลสำคัญจะหายไปหมด” นั่นแหละค่ะ คือ Empathy เขาไม่ได้แค่เข้าใจสถานการณ์ แต่เข้าใจความรู้สึกของเราด้วย

Empathy เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน การสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น หรือแม้แต่การใช้จินตนาการเพื่อทำความเข้าใจมุมมองของคนอื่น และที่สำคัญ Empathy ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความรู้สึกด้านลบเท่านั้นนะคะ เราสามารถมี Empathy กับความสุข ความตื่นเต้น หรือความสำเร็จของคนอื่นได้เช่นกัน

แล้ว Sympathy ล่ะ? มันต่างจาก Empathy ยังไง? มาดูกันต่อเลยค่ะ

Sympathy ความรู้สึก “สงสาร” ที่อาจสร้างระยะห่าง

ความสงสาร (Sympathy) คือความรู้สึกเห็นใจหรือเป็นห่วงผู้อื่นที่กำลังเผชิญกับความทุกข์หรือความยากลำบาก

ถ้า Empathy คือการ “สัมผัสความรู้สึกนึกคิดของอีกคน” Sympathy ก็เหมือนกับการ “มองดูเขาจากระยะไกล” ค่ะ Sympathy คือความรู้สึกสงสาร เห็นใจ หรือเป็นห่วงผู้อื่นที่กำลังเผชิญกับความทุกข์หรือความยากลำบาก เราอาจจะรู้สึกเศร้าใจไปกับเขา หรืออยากจะช่วยเหลือเขา แต่เราไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของเขาอย่างลึกซึ้งเท่ากับ Empathy

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนของเราสอบตก เราอาจจะพูดว่า “ไม่เป็นไรนะ ครั้งหน้าเอาใหม่ สู้ๆ” นี่คือการแสดง Sympathy เราให้กำลังใจเขาและหวังว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้น แต่เราไม่ได้พยายามทำความเข้าใจความผิดหวังหรือความท้อแท้ที่เขาอาจจะกำลังรู้สึกอยู่

Sympathy ก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ มันแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและเป็นห่วงผู้อื่น แต่บางครั้ง Sympathy ก็อาจจะสร้างระยะห่างระหว่างเรากับอีกฝ่ายได้ เพราะมันทำให้เรามองเขาจากมุมมองของเราเอง ไม่ใช่มุมมองของเขา

ลองนึกภาพตามนะคะ สมมติว่าเราทะเลาะกับแฟนอย่างรุนแรง เรารู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก เพื่อนของเราก็มาปลอบใจเราว่า “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเขาก็หายโกรธ” ตอนนั้นเราอาจจะรู้สึกว่าเพื่อนไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของเราเลย เราไม่ได้ต้องการให้ใครมาบอกว่าแฟนเราจะหายโกรธ เราต้องการให้ใครสักคนรับฟังความรู้สึกของเราและเข้าใจว่าทำไมเราถึงเสียใจ

จากตัวอย่างนี้ เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้ง Sympathy อาจจะไม่เพียงพอ เราต้องใช้ Empathy เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่แท้จริงกับผู้อื่น

แล้วในชีวิตประจำวันของเรา เราจะใช้ Empathy ได้อย่างไรบ้าง? มาดูกันในหัวข้อต่อไปค่ะ

Empathy ในชีวิตประจำวัน กุญแจสำคัญสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

หลายคนอาจจะมองว่า Empathy เป็นเรื่องของจิตใจ หรือเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักจิตวิทยาหรือผู้ให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว Empathy มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามากกว่าที่คิดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือแม้แต่กับคนแปลกหน้าที่เราพบเจอ

ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าหัวหน้าของเราสามารถเข้าใจความกดดันและความเครียดที่เราเผชิญอยู่ เขาอาจจะสามารถให้การสนับสนุนและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับเราได้ หรือถ้าคู่ชีวิตของเราสามารถรับรู้ถึงความเหนื่อยล้าและความกังวลของเรา เขาอาจจะช่วยแบ่งเบาภาระหรือให้กำลังใจเราได้อย่างเหมาะสม

แม้แต่ในสถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น การต่อคิวซื้อของ ถ้าเราเห็นว่ามีคนกำลังรีบร้อน เราอาจจะให้เขาแซงคิวเราได้ นี่ก็เป็นการแสดง Empathy อย่างหนึ่งค่ะ เพราะเราพยายามเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของเขา

Empathy ไม่ได้เป็นแค่ทักษะในการเข้าใจผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เรา:

  • สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: เมื่อเราเข้าใจความรู้สึกของคู่สนทนา เราจะสามารถเลือกใช้คำพูดและน้ำเสียงที่เหมาะสม ทำให้การสื่อสารราบรื่นและลดความเข้าใจผิด
  • แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง: แทนที่จะโต้เถียงหรือตำหนิกัน Empathy ช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย ทำให้หาทางออกร่วมกันได้ง่ายขึ้น
  • สร้างความไว้วางใจและความผูกพัน: เมื่อเรารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและรับฟังเราอย่างแท้จริง เราจะรู้สึกปลอดภัยและเปิดใจกับเขาได้มากขึ้น
  • เป็นผู้นำที่ดี: ผู้นำที่มี Empathy จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจและได้รับความร่วมมือจากทีมงานได้ดีกว่า เพราะเขาเข้าใจความต้องการและความกังวลของลูกน้อง

เห็นไหมคะว่า Empathy มีประโยชน์มากมายจริงๆ แล้วเราจะพัฒนา Empathy ของเราได้อย่างไร? มาดูกันในหัวข้อต่อไปค่ะ

เคล็ดลับพัฒนา Empathy ฝึกฝนได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

หลายคนอาจจะคิดว่า Empathy เป็นเรื่องของพรสวรรค์ บางคนมีมาตั้งแต่เกิด บางคนไม่มีเลย แต่จริงๆ แล้ว Empathy เป็นทักษะที่เราสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ค่ะ เหมือนกับการเล่นกีตาร์หรือการเรียนภาษาใหม่ ยิ่งเราฝึกฝนมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

แล้วเราจะเริ่มต้นพัฒนา Empathy ของเราได้อย่างไร? มาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ

  1. ฝึกฟังอย่างตั้งใจ: หลายครั้งที่เราฟังคนอื่นพูด แต่ใจเรากลับลอยไปคิดเรื่องอื่น หรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะตอบโต้เขายังไง ลองฝึกฟังอย่างตั้งใจจริงๆ ดูนะคะ ไม่ตัดสิน ไม่รีบสรุป ฟังเพื่อทำความเข้าใจเขาจริงๆ
  2. สังเกตภาษากาย: ภาษากายสามารถบอกอะไรเราได้มากกว่าคำพูด ลองสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทางของคู่สนทนา เราอาจจะเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดของเขา
  3. ถามคำถามปลายเปิด: แทนที่จะถามคำถามที่ตอบได้แค่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ลองถามคำถามที่เปิดโอกาสให้เขาได้เล่าความรู้สึกหรือความคิดเห็นของเขาอย่างเต็มที่ เช่น “เธอรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?” หรือ “เธอคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุของปัญหา?”
  4. ลองมองจากมุมมองของเขา: ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไร ลองจินตนาการว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกยังไง จะมีปฏิกิริยาอย่างไร
  5. อ่านหนังสือหรือดูหนัง: การอ่านหนังสือหรือดูหนังที่ตัวละครมีภูมิหลังหรือประสบการณ์ที่แตกต่างจากเรา สามารถช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น
  6. ฝึก Self-compassion: การมีความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนา Empathy ต่อผู้อื่น เมื่อเรารู้จักยอมรับและเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง เราจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
  7. เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง: อย่ากลัวที่จะพูดคุยกับคนที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับเรา การรับฟังมุมมองที่หลากหลายจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราและทำให้เราเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์มากขึ้น

การพัฒนา Empathy อาจจะต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันคุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะ Empathy ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น แต่ยังช่วยให้เราเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น เข้าใจโลกและเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย

ความเห็นอกเห็นใจต่อตนเอง

หลายครั้งที่เราทุ่มเทความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจให้กับผู้อื่น จนลืมไปว่าตัวเองก็ต้องการความรักและความเข้าใจเช่นกันค่ะ การมี Empathy ต่อตนเอง หรือที่เรียกว่า Self-compassion เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การมี Empathy ต่อผู้อื่นเลย มันคือการโอบกอดตัวเองด้วยความเมตตา แม้ในวันที่เราทำผิดพลาด ไม่สมบูรณ์แบบ หรือรู้สึกท้อแท้

Self-compassion คือการที่เรามีเมตตาต่อตัวเอง ยอมรับข้อผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เข้าใจว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต และให้กำลังใจตัวเองในวันที่ท้อแท้หรือผิดหวัง

ลองนึกถึงวันที่เราทำพลาดอะไรบางอย่าง แทนที่จะโทษตัวเองหรือรู้สึกผิดจนเกินไป ลองพูดกับตัวเองด้วยความเข้าใจและให้กำลังใจ เหมือนกับที่เราจะพูดกับเพื่อนสนิทของเรา เช่น “ไม่เป็นไรนะ ทุกคนผิดพลาดกันได้ ครั้งหน้าเราจะทำให้ดีกว่านี้”

การมี Self-compassion ช่วยให้เรา:

  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล: เมื่อเราไม่ตัดสินตัวเองอย่างรุนแรง เราจะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น หากมีเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังเผชิญกับความเครียด ลองอ่านบทความของเราเกี่ยวกับการจัดการความเครียดเพื่อรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพดูได้นะคะ
  • เพิ่มความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเอง: การยอมรับข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ช่วยให้เรามีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
  • สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง: แทนที่จะจมอยู่กับความผิดพลาด Self-compassion ช่วยให้เรามองเห็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น: เมื่อเรามีความเมตตาต่อตัวเอง เราจะสามารถมีความเมตตาต่อผู้อื่นได้ง่ายขึ้น

การมี Empathy ต่อตนเองและผู้อื่น เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันค่ะ เมื่อเราเข้าใจและยอมรับความรู้สึกของตัวเอง เราจะสามารถเข้าใจและยอมรับความรู้สึกของผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อเราสามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นด้วย Empathy เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายได้อย่างแท้จริง

สรุปและทิ้งท้าย

ตลอดบทความนี้ เราได้สำรวจความหมายและความสำคัญของ Empathy และ Sympathy เราได้เห็นว่า Empathy คือการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ Sympathy คือความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจผู้อื่น แม้ว่าทั้งสองคำจะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ Empathy มีพลังในการสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่า

เราได้เรียนรู้ว่า Empathy มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และที่สำคัญ เราทุกคนสามารถพัฒนา Empathy ของเราได้ด้วยการฝึกฝนและใส่ใจ

อย่าลืมว่า Empathy ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเข้าใจผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีความเห็นอกเห็นใจต่อตนเองด้วย การยอมรับและเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้าง Empathy ต่อผู้อื่น

นอกจาก Empathy แล้ว เรายังมีบทความที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจ การจัดการความเครียด หรือการค้นหาเป้าหมายในชีวิต ถ้าคุณพร้อมที่จะก้าวไปอีกขั้น ลองแวะไปอ่านบทความอื่นๆ ของเราใน Blog ได้เลยค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอให้เราทุกคนลองนำ Empathy ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการรับฟังเพื่อนที่กำลังมีปัญหา การให้กำลังใจคนในครอบครัว หรือแม้แต่การยิ้มให้กับคนแปลกหน้า Empathy เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้ เริ่มต้นจากตัวเรา จากวันนี้กันค่ะ

ถ้าเพื่อนๆ มีประสบการณ์เกี่ยวกับ Empathy หรือ Sympathy ที่อยากจะแบ่งปัน อย่าลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นด้านล่างนะคะ เราอยากได้ยินเรื่องราวของคุณค่ะ

Share your love
OutputBetterResults
OutputBetterResults

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *