เคยสงสัยไหมคะว่า “การฟัง” มันหมายถึงอะไรกันแน่? ทำไมแค่ “ได้ยิน” ถึงยังไม่พอ? ในโลกที่วุ่นวาย การฟังอย่างมีสติคือทักษะที่ทรงพลังและจำเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการฝึกสติที่จะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันและรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างเต็มที่
ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกความหมายของ “การฟัง” สำรวจความสำคัญ และเรียนรู้เคล็ดลับในการพัฒนาทักษะนี้ เพื่อให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตในทุกด้านของชีวิตไปพร้อม ๆ กันค่ะ
1.การฟัง หมายถึงอะไร? ทำไมถึงต่างจากการได้ยิน
เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ “การฟัง” ค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ การฟังมันก็แค่ได้ยินเสียงไม่ใช่เหรอ? แต่เราจะมาบอกว่า มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ!
“การฟัง” ไม่ใช่แค่การที่หูของเราได้รับคลื่นเสียงเข้ามา แต่มันคือกระบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะ เริ่มตั้งแต่การได้ยินเสียง เข้าใจความหมายของเสียงนั้น ๆ และที่สำคัญคือการตีความและเข้าใจในสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสารออกมา
จำได้ไหมคะ ตอนที่เราเด็ก ๆ เวลาคุณพ่อคุณแม่ดุ เรามักจะได้ยินแค่เสียงที่ดังและน่ากลัว แต่พอโตขึ้น เราเริ่ม “ฟัง” สิ่งที่ท่านพูดอย่างตั้งใจมากขึ้น เราเริ่มเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังคำดุนั้น และบางครั้งเราก็ค้นพบว่า ท่านกำลังเป็นห่วงเรามากแค่ไหน นั่นแหละค่ะ คือตัวอย่างง่าย ๆ ของการที่เราเปลี่ยนจาก “การได้ยิน” มาเป็น “การฟัง” อย่างแท้จริง
ทีนี้เรามาลองเปรียบเทียบ “การฟัง” กับ “การได้ยิน” ให้เห็นภาพกันชัด ๆ เลยดีกว่า
- การได้ยิน เหมือนกับการที่เราเปิดวิทยุทิ้งไว้ เราได้ยินเสียงเพลง เสียงข่าว แต่เราไม่ได้ใส่ใจกับเนื้อหา
- การฟัง เหมือนกับการที่เรานั่งดูหนังเรื่องโปรด เราตั้งใจฟังบทสนทนาของตัวละคร พยายามเข้าใจความรู้สึกและแรงจูงใจของพวกเขา
เห็นไหมคะว่าต่างกันลิบลับเลย! การฟังต้องใช้ทั้งสติและสมาธิ ในขณะที่การได้ยินเป็นไปโดยอัตโนมัติ
แล้วทำไมเราต้อง “ฟัง” ด้วยล่ะ ในเมื่อแค่ “ได้ยิน” ก็พอแล้ว?
ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าคุณกำลังคุยกับเพื่อนสนิท แล้วเพื่อนเอาแต่ “ได้ยิน” เสียงคุณ แต่ไม่พยายาม “ฟัง” และเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด คุณจะรู้สึกยังไง? คงจะรู้สึกแย่ ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะการที่ใครสักคน “ฟัง” เราอย่างตั้งใจ มันแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรา
การฟังจึงเป็นมากกว่าแค่การรับรู้เสียง แต่มันคือการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างเรากับคนรอบข้าง เป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และการเติบโตในทุกด้านของชีวิตค่ะ
ในหัวข้อต่อไป เราจะมาเจาะลึกกันต่อว่า “การได้ยิน การฟัง และการตีความหมาย” มันต่างกันยังไง แล้วมันเชื่อมโยงกันอย่างไร?
2.การได้ยิน การฟัง และการตีความหมาย เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
มาต่อกันที่หัวข้อที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยค่ะ นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่าง “การได้ยิน การฟัง และการตีความหมาย” หลายคนอาจจะยังงง ๆ อยู่ว่า เอ๊ะ ทั้งสามอย่างนี้มันต่างกันยังไง แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง งั้นเรามาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ
ลองจินตนาการว่าเรากำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน อาจารย์กำลังสอนเรื่องที่เราไม่ค่อยถนัดนัก
- การได้ยิน คือตอนที่เสียงของอาจารย์ผ่านเข้ามาในหูของเรา เราได้ยินเสียงท่านพูด แต่สมองของเรายังไม่ได้ประมวลผลอะไรมากนัก อาจจะคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ หรือเผลอหลับไปก็ได้ (สารภาพมาซะดี ๆ เถอะค่ะ!)
- การฟัง คือตอนที่เราเริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์พูด เราพยายามจับใจความสำคัญ จดบันทึก และอาจจะพยักหน้าตามเป็นระยะ ๆ เพื่อแสดงว่าเราเข้าใจ
- การตีความหมาย คือขั้นตอนที่ลึกซึ้งที่สุด เราไม่ได้แค่ฟังสิ่งที่อาจารย์พูด แต่เราพยายามเชื่อมโยงความรู้นั้นกับสิ่งที่เรารู้มาก่อนหน้านี้ เราตั้งคำถาม เราวิเคราะห์ และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนอย่างแท้จริง
สรุปง่าย ๆ ก็คือ
- การได้ยิน เป็นเพียงการรับรู้เสียง
- การฟัง คือการตั้งใจรับรู้และเข้าใจความหมายของเสียงนั้น
- การตีความหมาย คือการนำความหมายนั้นไปวิเคราะห์และประมวลผลในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทั้งสามกระบวนการนี้เชื่อมโยงกันเป็นทอด ๆ เหมือนบันได 3 ขั้น เราต้อง “ได้ยิน” เสียงก่อน ถึงจะสามารถ “ฟัง” และ “ตีความหมาย” ได้
แต่ในชีวิตจริง เราไม่ได้ก้าวผ่าน 3 ขั้นตอนนี้ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง บางครั้งเราอาจจะแค่ “ได้ยิน” แต่ไม่ได้ “ฟัง” หรือ “ตีความหมาย” ก็ได้ เช่น เวลาเราเดินผ่านร้านขายของแล้วได้ยินเสียงเพลง เราอาจจะแค่ได้ยินเสียงเพลงนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจฟังเนื้อร้อง หรือตีความหมายของเพลงนั้น
การที่เราจะก้าวไปสู่ขั้น “การฟัง” และ “การตีความหมาย” ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย “ทักษะการฟัง” ที่ดี ซึ่งเราจะมาพูดถึงกันในหัวข้อต่อไปค่ะ
3.”ทักษะการฟัง” คืออะไร? และทำไมเราถึงต้องมี
มาถึงอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่เราจะมาเจาะลึกกันค่ะ นั่นก็คือ “ทักษะการฟัง” หลายคนอาจจะคิดว่า การฟังมันก็แค่…ฟังอะ ไม่เห็นจะต้องมีทักษะอะไรเลย แต่จริง ๆ แล้ว การฟังอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยทักษะหลายอย่างประกอบกันค่ะ
ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ “ทักษะการฟัง” ก็เหมือนกับการทำอาหารค่ะ แค่มีวัตถุดิบอย่างเดียวไม่พอ เราต้องมีทักษะในการหั่น ผัด ปรุงรส ถึงจะทำให้อาหารอร่อยได้ เช่นเดียวกัน การฟังก็ต้องอาศัยทักษะหลายอย่างเพื่อให้เราเข้าใจและตีความสิ่งที่ผู้พูดสื่อสารออกมาได้อย่างถูกต้อง
แล้วทักษะการฟังที่ดีมันมีอะไรบ้างล่ะ? มาดูกันเลยค่ะ
- การตั้งใจฟัง: อันนี้เป็นพื้นฐานเลยค่ะ ลองนึกภาพว่าเรากำลังคุยกับเพื่อน แต่สายตาเรามองไปทางอื่น หรือมือถือก็ดังตลอดเวลา เพื่อนเราคงจะรู้สึกแย่แน่ ๆ ดังนั้น เวลาฟังใครพูด เราควรให้ความสนใจกับเขาอย่างเต็มที่ค่ะ
- การสังเกตภาษากาย: ภาษากายก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ บางครั้งคำพูดกับภาษากายอาจจะสื่อสารสิ่งที่ต่างกัน เช่น เพื่อนอาจจะบอกว่า “ไม่เป็นไร” แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเขาดูไม่โอเคเลย การสังเกตภาษากายจะช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูดได้ดียิ่งขึ้น
- การไม่ตัดสิน: เคยไหมคะ เวลาฟังใครพูดแล้วเรารีบด่วนสรุป หรือตัดสินเขาไปก่อนที่จะฟังเขาพูดจบ การไม่ตัดสินจะช่วยให้เราเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และอาจจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากคนอื่นด้วย
- การถามคำถาม: ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็ถามเลยค่ะ การถามคำถามแสดงให้เห็นว่าเราสนใจและอยากทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้พูดกำลังสื่อสาร
- การสะท้อนความรู้สึก: ลองทวนสิ่งที่ผู้พูดบอกเรา หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจเขา เช่น “ฟังดูแล้วเธอรู้สึกเสียใจมากเลยนะ” การสะท้อนความรู้สึกจะช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่าเราเข้าใจเขาจริง ๆ
เห็นไหมคะว่าทักษะการฟังที่ดีมันมีหลายอย่างเลย แล้วทำไมเราต้องพัฒนาทักษะเหล่านี้ด้วยล่ะ?
เพราะทักษะการฟังที่ดีจะช่วยให้เรา
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง: การที่เรารู้จักฟัง จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป็นคนที่น่าพูดคุยด้วย และเปิดใจที่จะสื่อสารกับเรามากขึ้น
- เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ: การฟังอย่างตั้งใจจะช่วยให้เราเก็บข้อมูลและเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ที่ทำงาน หรือแม้แต่การฟัง podcast หรือดูคลิป YouTube ก็ตาม
- แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ: เมื่อเกิดปัญหาขึ้น การฟังอย่างเข้าใจจะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาจากหลายมุมมอง และหาทางออกที่ดีที่สุดได้
และนี่ก็คือเหตุผลที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญกับ “ทักษะการฟัง” ค่ะ เพราะมันไม่ใช่แค่ทักษะในการสื่อสาร แต่เป็นทักษะที่จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านของชีวิตเลยทีเดียว
ในหัวข้อต่อไป เราจะมาดูกันว่า “การฟัง” มันสำคัญยังไงในชีวิตประจำวันของเราบ้าง แล้วมันจะช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ยังไง
4.การฟัง มีความสำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวัน
มาถึงตรงนี้ เราอาจจะเริ่มเห็นภาพแล้วว่า “การฟัง” ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยใช่ไหมคะ ทีนี้เราจะมาลงลึกกันต่อว่า แล้ว “การฟัง” เนี่ย มันสำคัญกับชีวิตประจำวันของเรายังไงบ้าง ทำไมเราต้องใส่ใจกับมันขนาดนั้น
เชื่อไหมคะว่า “การฟัง” เป็นเหมือนลมหายใจของความสัมพันธ์เลยค่ะ ลองนึกถึงเวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ แล้วได้มีโอกาสระบายให้ใครสักคนฟัง ถ้าคนนั้นรับฟังเราอย่างตั้งใจ เราจะรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลย ใช่มั้ยล่ะคะ นั่นเป็นเพราะการฟังทำให้เรารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและเห็นอกเห็นใจเรา มันสร้างความผูกพันธ์และทำให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นขึ้น
นอกจากนี้ การฟังยังเป็นกุญแจสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอีกด้วยค่ะ เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาเราฟังบรรยาย หรือฟังเพื่อนร่วมงานอธิบายงาน เรามักจะได้ไอเดียใหม่ ๆ หรือมุมมองที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน นั่นเป็นเพราะการฟังเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้จากประสบการณ์และความคิดของคนอื่น ทำให้เราเติบโตขึ้นในทุก ๆ วัน
และที่สำคัญ “การฟัง” ยังเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกการทำงานค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการฟังความต้องการของลูกค้า การรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การฟังคำติชมจากหัวหน้า การฟังอย่างเข้าใจจะช่วยลดความขัดแย้ง สร้างความร่วมมือ และนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานได้
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เมื่อก่อนเราเป็นคนใจร้อน มักจะพูดแทรกคนอื่นอยู่บ่อย ๆ จนวันหนึ่งคนใกล้ตัวทักว่า เราไม่ค่อยฟังเขาเวลาที่เขาพูด ทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขาเลย หลังจากวันนั้น เราก็พยายามปรับปรุงตัวเอง ฝึกที่จะฟังคนอื่นให้มากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เราประหลาดใจมากค่ะ ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างจะดีขึ้น เรายังได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากการฟังคนอื่นมากมาย และที่สำคัญ เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
เห็นไหมคะว่า “การฟัง” ไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ ที่เราจะมองข้ามไปได้ มันส่งผลต่อทุกด้านของชีวิตเราเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว การเรียนรู้ การทำงาน หรือแม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่น
5.”ประโยชน์ของการฟัง” ที่คุณอาจมองข้าม
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึกว่า “การฟัง” มันสำคัญกว่าที่คิดเยอะเลย แล้วถ้าเราพัฒนาทักษะการฟังให้ดีขึ้น เราจะได้อะไรจากมันบ้าง? มาดูกันค่ะว่า “ประโยชน์ของการฟัง” มีอะไรบ้าง บางข้ออาจจะทำให้เพื่อนๆ เซอร์ไพรส์เลยก็ได้นะ!
1.สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้อื่น
การที่เรารับฟังใครสักคนอย่างตั้งใจ โดยไม่ตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกหรือความคิดที่แท้จริงออกมา นี่เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและไว้วางใจกัน
2.ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่
บางครั้งคนรอบข้างเราอาจมีความสามารถหรือไอเดียดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ แต่ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธหรือไม่เป็นที่ยอมรับ การที่เราเปิดใจรับฟังอย่างแท้จริง อาจช่วยให้พวกเขาค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ และกล้าที่จะก้าวออกมาทำสิ่งใหม่ ๆ
3.พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
การฟังอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นได้ดีขึ้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย
4.สร้างความสงบภายใน
ในโลกที่วุ่นวาย การฟังอย่างมีสติเป็นเหมือนการพักใจ ให้เราได้หยุดคิดถึงเรื่องต่าง ๆ และโฟกัสอยู่กับปัจจุบันขณะ การฟังเสียงธรรมชาติ เสียงดนตรี หรือแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ก็สามารถช่วยให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายได้ นำพาความสงบมาสู่จิตใจของเรา
5.เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
การที่เราเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างอยากพัฒนาทักษะการฟังของพวกเขาด้วย เมื่อเราสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการรับฟังและความเข้าใจ เราจะช่วยสร้างสังคมที่น่าอยู่และมีความสุขมากขึ้น
ส่วนตัวแล้ว เราเชื่อว่า การฟังเป็นมากกว่าแค่การสื่อสาร มันคือการเชื่อมโยงใจกับใจ การที่เราเปิดใจรับฟังผู้อื่นอย่างแท้จริง จะนำไปสู่ความเข้าใจ ความรัก และการเติบโตในทุก ๆ ด้านของชีวิตค่ะ
แล้วเราจะฝึก “ทักษะการฟัง” ให้เก่งขึ้นได้ยังไง? เคล็ดลับอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราเป็น “นักฟัง” มือโปร? ไปติดตามกันต่อในหัวข้อสุดท้ายกันเลยค่ะ!
6.เคล็ดลับฝึก “ทักษะการฟัง” เพื่อการฟังอย่างแท้จริง
หลังจากที่เราได้เห็นความสำคัญและประโยชน์ของ “การฟัง” กันไปแล้ว หลายคนอาจจะเริ่มอยากพัฒนาทักษะการฟังของตัวเองให้ดีขึ้น แต่จะเริ่มยังไงดีล่ะ? ไม่ต้องกังวลค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆ เป็น “นักฟัง” มือโปรมาฝากกัน
1.ฝึกฟังอย่างมีสติ
เริ่มจากการฝึก “อยู่กับปัจจุบัน” เวลาฟังใครพูด พยายามไม่คิดถึงเรื่องอื่น หรือปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล ให้โฟกัสอยู่กับสิ่งที่ผู้พูดกำลังสื่อสารออกมา
2.ถามคำถามเพื่อความเข้าใจ
ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ อย่าปล่อยผ่านไปนะคะ กล้าที่จะถามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกัน การถามคำถามยังแสดงให้เห็นว่าเราสนใจและอยากเรียนรู้จากผู้พูดด้วย
3.ฝึกฟังสิ่งที่ไม่ชอบ
บางครั้งเราอาจจะต้องฟังเรื่องที่เราไม่สนใจ หรือฟังความคิดเห็นที่เราไม่เห็นด้วย ลองเปิดใจรับฟังดูนะคะ เราอาจจะได้มุมมองใหม่ ๆ หรืออย่างน้อยก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายมากขึ้น
4.สังเกตภาษากายของตัวเอง
เวลาฟังคนอื่นพูด เราควรแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ให้ผู้พูดรู้ว่าเรากำลังตั้งใจฟัง เช่น การสบตา พยักหน้า หรือยิ้ม
5.ฝึกฝนบ่อย ๆ
เหมือนกับทักษะอื่น ๆ การฟังก็ต้องอาศัยการฝึกฝนค่ะ ลองฝึกฟังอย่างตั้งใจในทุก ๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับเพื่อน ฟังข่าว หรือแม้แต่ฟังเพลง ก็สามารถช่วยพัฒนาทักษะการฟังของเราได้
และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่า “การฟัง” ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียง แต่มันคือการเปิดใจรับฟังและเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง เมื่อเราฟังด้วยใจ เราจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี มีความสุขมากขึ้น และเติบโตขึ้นในทุก ๆ ด้านของชีวิตค่ะ
บทส่งท้าย: เมื่อเปิดใจรับฟัง โลกก็จะเปิดรับคุณ
“การฟัง” ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียง แต่เป็นทักษะที่ทรงพลัง สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้ ตั้งแต่ความสัมพันธ์ การเรียนรู้ ไปจนถึงการค้นพบศักยภาพในตัวเองและผู้อื่น
การฟังอย่างแท้จริง คือการเปิดใจรับฟังและเข้าใจผู้อื่น นำไปสู่การเติบโตในทุกด้านของชีวิต
อย่าลืมว่า การฟังเป็นสิ่งที่เราฝึกฝนได้ เมื่อเราตั้งใจ เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลง
เริ่มต้นในวันนี้ ลองฝึกฟังคนรอบข้างอย่างตั้งใจ สังเกตภาษากาย ถามคำถาม และฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง
“เมื่อเราเปิดใจรับฟัง โลกก็จะเปิดรับเราเช่นกัน”
ถ้ามีคำถาม หรืออยากจะแชร์ประสบการณ์ ก็สามารถคอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ