‘ความขี้เกียจ’ ศัตรูตัวฉกาจของความสำเร็จและวิธีเอาชนะมัน

“ขี้เกียจ” คำนี้คงเป็นคำที่หลายคนคุ้นเคยและอาจจะกำลังเผชิญอยู่ ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จ แต่ความขี้เกียจนี่แหละที่เป็นเหมือนกำแพงขวางกั้นเราไว้ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะเรามีวิธีเลิกขี้เกียจ ที่จะช่วยให้คุณเอาชนะความเกียจคร้านและก้าวไปสู่ชีวิตที่สดใสกว่าเดิมมาฝากกันค่ะ

ทำไมเราถึงขี้เกียจ?

เคยไหมคะ? ที่มีวันที่ตื่นมาแล้วรู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนต่อ อยากดูซีรีส์ หรือแค่อยากนั่งเฉยๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป นั่นแหละค่ะ ความขี้เกียจ ศัตรูตัวฉกาจของใครหลายๆ คน รวมถึงตัวเราเองด้วย!

ความขี้เกียจมันเหมือนกับแรงโน้มถ่วงที่คอยฉุดรั้งเราไว้ ไม่ให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ บางครั้งมันก็มาจากความเหนื่อยล้าทางกาย บางครั้งก็มาจากความท้อแท้ในใจ หรือบางครั้งก็มาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ไม่เอื้ออำนวย

  • เราพักผ่อนเพียงพอหรือเปล่า?
  • เรากำลังเครียดหรือกังวลกับอะไรอยู่หรือเปล่า?
  • งานที่เราต้องทำมันยากเกินไปสำหรับเราหรือเปล่า?
  • เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนหรือเปล่า?
  • ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้?

ลองถามตัวเองดูนะคะ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกขี้เกียจ การทำความเข้าใจกับสาเหตุของความขี้เกียจ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเอาชนะมันค่ะ

จำได้เลยว่าตอนเรียนมัธยม เราเคยมีช่วงเวลาที่ขี้เกียจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แบบว่าไม่อยากไปเรียน ไม่อยากทำการบ้าน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง จนเกรดตกฮวบฮาบ โดนที่บ้านบ่นจนหูชา ตอนนั้นรู้สึกแย่มากๆ ทั้งกับตัวเองและกับอนาคตที่ดูเหมือนจะมืดมน

แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ เราเริ่มค้นหาสาเหตุของความขี้เกียจ และพยายามหาวิธีที่จะเอาชนะมันให้ได้ เราพบว่าความขี้เกียจของเราส่วนหนึ่งมาจากความเครียดสะสมจากการเรียน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการที่เราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต

เมื่อรู้สาเหตุ เราก็เริ่มวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราเริ่มตั้งเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน เช่น อ่านหนังสือให้จบ 1 หน้า ทำการบ้านให้เสร็จ 1 ชิ้น หรือออกไปวิ่ง 10 นาที เราพบว่าการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจและอยากทำสิ่งอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ เรายังพยายามจัดการกับสิ่งรบกวนรอบตัว เช่น ปิดการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย และหาที่อ่านหนังสือที่เงียบสงบ เรายังเริ่มดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ทั้งการกิน การนอน และการออกกำลังกาย เพราะเรารู้ว่าร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงจะช่วยให้เรามีพลังในการต่อสู้กับความขี้เกียจได้

และที่สำคัญที่สุด เราเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองเมื่อทำผิดพลาดหรือล้มเหลว เพราะความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เราไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดมาฉุดรั้งเราไว้ แต่เราเลือกที่จะเรียนรู้จากมันและก้าวต่อไป

การเอาชนะความขี้เกียจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเรารู้จักตัวเอง เข้าใจสาเหตุของความขี้เกียจ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละเล็กทีละน้อย เราก็จะสามารถเอาชนะมันได้อย่างแน่นอนค่ะ

ทัศนคติที่จำเป็นในการเอาชนะความขี้เกียจ

ที่เขาว่ากันว่า “ความคิด กำหนดชีวิต” มันจริงมากๆ เลยค่ะ ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ฉันต้องทำ” “ฉันจำเป็นต้องทำ” งานที่อยู่ตรงหน้ามันก็จะดูน่าเบื่อ น่าเหนื่อย และยิ่งทำให้เราไม่อยากทำเข้าไปใหญ่

แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิด จาก “ฉันต้องทำ” เป็น “ฉันอยากทำ” ล่ะคะ? ลองมองหางานอดิเรกที่เราชอบ หรือมองหาแง่มุมดีๆ ในงานที่เราต้องทำ เช่น

  • งานนี้จะช่วยให้เราพัฒนาทักษะอะไรบ้าง?
  • จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายในชีวิตยังไงบ้าง?
  • เราจะทำให้งานนี้น่าสนใจขึ้นได้ไหม?

เมื่อเรามองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เราก็จะมีแรงบันดาลใจและอยากลงมือทำมันมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราต้องอ่านหนังสือเรียนวิชาที่เราไม่ชอบเลย ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ต้องอ่าน” “ต้องจำ” แค่คิดก็เหนื่อยแล้วใช่ไหมคะ? แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดเป็น “ฉันอยากรู้เรื่องนี้ให้มากขึ้น” “ฉันอยากเข้าใจเนื้อหานี้ให้ลึกซึ้ง” เราก็จะรู้สึกสนุกกับการอ่านมากขึ้น และอาจจะค้นพบว่าวิชานี้ก็มีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความหมายกับเราจริงๆ ค่ะ เป้าหมายจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่คอยนำทางเรา ให้เรารู้ว่าเราจะไปทางไหน และทำไมเราถึงต้องไปทางนั้น แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตั้งเป้าหมายยังไง ลองอ่านบทความ วิธีตั้งเป้าหมายในชีวิตสำหรับมือใหม่ ที่เราเคยเขียนไว้ได้นะคะ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะมีแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้า แม้ในวันที่รู้สึกขี้เกียจก็ตาม

และสุดท้าย อย่ากลัวความล้มเหลวค่ะ ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีใครที่ทำอะไรสำเร็จได้โดยไม่เคยล้มเหลวมาก่อน แทนที่จะมองความล้มเหลวเป็นจุดจบ ลองมองมันเป็นบทเรียน เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เมื่อเราไม่กลัวความล้มเหลว เราก็จะมีความกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆและก้าวออกจากComfort Zone ของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชนะความขี้เกียจค่ะ

จำไว้นะคะว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองเริ่มต้นที่ความคิด เมื่อเราเปลี่ยนมายเซ็ทที่เรามีต่อตัวเรา เราก็จะเปลี่ยนชีวิตได้ค่ะ สู้ๆ นะคะ!

เคล็ดลับในการเอาชนะความขี้เกียจ เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ

เอาล่ะค่ะ! เมื่อเรารู้แล้วว่าทำไมเราถึงขี้เกียจ และมีทัศนคติที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติกันจริงจังแล้วค่ะ แต่อย่าเพิ่งท้อนะคะ ถ้ารู้สึกว่างานที่ต้องทำมันยิ่งใหญ่อลังการเกินไป จนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ไม่เป็นไรค่ะ เราจะมาเริ่มต้นทีละก้าว

1. แบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อยๆ

เหมือนกับการกินพิซซ่าค่ะ ถ้าเรามองทั้งถาด อาจจะรู้สึกว่าเยอะเกินไป กินไม่หมดแน่ๆ แต่ถ้าเราแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ทีละชิ้นสองชิ้น ก็จะรู้สึกว่ามันง่ายขึ้นเยอะเลย งานก็เหมือนกันค่ะ ลองแบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นงานย่อยๆ ที่ทำได้ในเวลาสั้นๆ เช่น ถ้าต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม ก็อาจจะเริ่มจากอ่านทีละบท หรือถ้าต้องทำรายงานยาวๆ ก็อาจจะเริ่มจากร่างโครงร่างก่อน การแบ่งงานเป็นส่วนๆ จะช่วยลดความรู้สึกหนักใจ และทำให้เรารู้สึกว่างานมันไม่ได้ยากเกินความสามารถของเราค่ะ

2. สร้างตารางเวลาและทำตามอย่างเคร่งครัด

การมีตารางเวลาจะช่วยให้เรามีวินัยและโฟกัสกับงานที่ต้องทำมากขึ้นค่ะ ลองเขียนตารางเวลาประจำวันหรือประจำสัปดาห์ กำหนดว่าเราจะทำอะไรบ้างในแต่ละช่วงเวลา และพยายามทำตามตารางเวลาให้ได้มากที่สุด การทำตามตารางเวลาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างนิสัยที่ดี และทำให้เรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นค่ะ

3. หา “คู่หู” หรือ “โค้ช” เพื่อช่วยให้มีแรงกระตุ้น

การมีเพื่อนร่วมทางหรือคนคอยให้กำลังใจ จะช่วยให้เรามีกำลังใจและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวค่ะ ลองหาเพื่อนที่ขยันๆ หรือรุ่นพี่ที่เก่งๆ มาเป็นคู่หูในการเรียน หรืออาจจะลองหาโค้ชที่จะช่วยให้คำแนะนำและติดตามความก้าวหน้าของเรา การมีคนคอยสนับสนุนจะช่วยให้เรามีแรงฮึดและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ค่ะ

4. ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ

เมื่อเราทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองนะคะ การให้รางวัลจะเป็นเหมือนแรงจูงใจให้เราอยากทำสิ่งดีๆ ต่อไปค่ะ รางวัลอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง กินขนมอร่อยๆ หรือซื้อของที่อยากได้ การให้รางวัลตัวเองจะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง และมีกำลังใจที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ

5. เริ่มลงมือทำเดี๋ยวนี้เลย!

เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในการเอาชนะความขี้เกียจคือ การเริ่มลงมือทำค่ะ อย่ามัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง หรือรอให้ถึงเวลาที่ “เหมาะสม” เพราะเวลานั้นอาจจะไม่มีวันมาถึงก็ได้ เริ่มลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความท้าทายให้ตัวเอง เมื่อเราเริ่มลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด และเราก็จะภูมิใจในตัวเองมากขึ้นด้วยค่ะ

จำไว้นะคะว่า “การเดินทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก” เอาชนะความขี้เกียจและเริ่มต้นก้าวแรกของเพื่อนๆ วันนี้เลยค่ะ!

หากเพื่อนๆ อยากรู้เทคนิคการจัดการเวลาเพิ่มเติม ลองอ่านบทความคู่มือการจัดการเวลาให้อยู่หมัด สู่ความสำเร็จและความสุขที่ยั่งยืน ของเราได้นะคะ

จัดการสิ่งรบกวน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน

เป็นบ้างไหมคะ? ที่นั่งทำการบ้านหรืออ่านหนังสืออยู่ดีๆ ก็มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นมา หรือมีเพื่อนทักมาชวนคุย หรือมีเสียงทีวีดังมาจากห้องข้างๆ ทำให้เราเสียสมาธิและไม่อยากทำอะไรต่อเลย นั่นแหละค่ะ สิ่งรบกวนเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้เราขี้เกียจได้ง่ายๆ

ดังนั้น การจัดการสิ่งรบกวนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าเรามีโต๊ะทำงานที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีของรกเกะกะสายตา มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเทสะดวก และไม่มีเสียงดังรบกวน เราจะรู้สึกสบายใจและมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นใช่ไหมล่ะคะ

แล้วเราจะจัดการสิ่งรบกวนเหล่านี้ได้ยังไงบ้างล่ะ? มาดูกันค่ะ

  • จัดระเบียบโต๊ะทำงานและพื้นที่รอบตัว: เก็บของที่ไม่จำเป็นออกไป ทิ้งขยะให้เรียบร้อย จัดหนังสือและอุปกรณ์การเรียนให้เป็นระเบียบ การมีพื้นที่ทำงานที่สะอาดและเป็นระเบียบจะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิมากขึ้นค่ะ
  • ปิดการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันอื่นๆ: เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์เป็นสิ่งที่ทำให้เราเสียสมาธิได้ง่ายมากๆ ดังนั้น เวลาที่เราต้องโฟกัสกับงานสำคัญ ลองปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด หรือเปิดโหมด “ห้ามรบกวน” ไว้ก่อนค่ะ
  • หาที่ทำงานที่เงียบสงบและไม่มีสิ่งรบกวน: ถ้าที่บ้านมีเสียงดังหรือมีคนพลุกพล่าน ลองหาที่ทำงานอื่นๆ เช่น ห้องสมุด หรือร้านกาแฟที่เงียบๆ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบจะช่วยให้เรามีสมาธิและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
  • บอกคนรอบข้างให้รู้ว่าเราต้องการเวลาส่วนตัว: ถ้าเรากำลังทำงานสำคัญอยู่ และไม่อยากให้ใครมารบกวน ลองบอกคนรอบข้างให้รู้ล่วงหน้าค่ะ เช่น บอกพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนๆ ว่าเราจะอ่านหนังสือหรือทำการบ้านช่วงเวลานี้ และไม่ต้องการให้ใครมารบกวน การสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยลดโอกาสที่เราจะถูกขัดจังหวะค่ะ

การจัดการสิ่งรบกวนอาจจะต้องใช้ความพยายามและวินัยในช่วงแรกๆ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเมื่อเราทำจนเป็นนิสัยแล้ว เราจะพบว่ามันช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้นจริงๆ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะคะ แล้วเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวเองอย่างแน่นอนค่ะ

ดูแลสุขภาพ ร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง เพื่อเอาชนะความขี้เกียจ

เคยได้ยินไหมคะ “จิตใจที่แจ่มใสอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง” คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงเลยค่ะ เพราะสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ เหนื่อยล้า หรือเจ็บป่วย ก็ยากที่จะมีแรงบันดาลใจหรือสมาธิในการทำอะไร ในทางกลับกัน ถ้าจิตใจเราหดหู่ เครียด หรือวิตกกังวล ก็อาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและไม่อยากทำอะไรได้เช่นกัน

ดังนั้น การดูแลสุขภาพทั้งกายและใจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะความขี้เกียจค่ะ เรามาลองดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเราได้พักผ่อนและฟื้นฟูตัวเอง ถ้าเรานอนไม่พอ เราจะรู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอน และไม่มีสมาธิในการทำอะไรเลย ดังนั้น พยายามเข้านอนให้ตรงเวลาและนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนะคะ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่เรากินมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเราค่ะ การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารขยะ หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง อาจทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียและง่วงซึมได้ ในขณะที่การกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน และธัญพืช จะช่วยให้เรามีพลังงานและรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าค่ะ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขให้กับเราด้วยค่ะ ลองหาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์นะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายหนักๆ อาจจะเป็นแค่การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ หรือเล่นกีฬาที่เราชอบก็ได้ค่ะ
  • ทำสมาธิหรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ: การทำสมาธิหรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ เช่น โยคะ ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเขียนไดอารี่ จะช่วยให้เราสงบจิตใจ ลดความเครียด และเพิ่มสมาธิค่ะ ลองหาเวลาทำกิจกรรมเหล่านี้สัก 10-15 นาทีต่อวันนะคะ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: น้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายของเราค่ะ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีสมาธิมากขึ้นค่ะ ปริมาณน้ำที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ กิจกรรมที่ทำ และสภาพอากาศ ดังนั้น พยายามสังเกตตัวเองและดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนะคะ

การดูแลสุขภาพอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นยิ่งใหญ่มากค่ะ เมื่อเรามีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรง เราก็จะมีพลังและแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น รวมถึงการเอาชนะความขี้เกียจด้วยค่ะ เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้านะคะ

สรุป

เป็นยังไงบ้างคะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าเพื่อนๆ คงจะได้แรงบันดาลใจและเคล็ดลับดีๆ ในการเอาชนะความขี้เกียจกันไปบ้างนะคะ อยากจะบอกว่า ความขี้เกียจเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ใครๆ ก็เคยเป็น แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะไม่ยอมให้ความขี้เกียจมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จของเรา

จำไว้นะคะว่า การเอาชนะความขี้เกียจต้องใช้ทั้งความตั้งใจ ความพยายาม และวินัย แต่ถ้าเราลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและสร้างนิสัยที่ดีขึ้นได้แน่นอนค่ะ

ลองนำเคล็ดลับที่เราแนะนำไปปรับใช้ดูนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนทัศนคติ การตั้งเป้าหมาย การแบ่งงาน การจัดการสิ่งรบกวน หรือการดูแลสุขภาพ ลองทำทีละเล็กทีละน้อย แล้วเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวเองค่ะ

และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองนะคะ ทุกครั้งที่เราทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็อย่าลืมชื่นชมตัวเองและให้รางวัลตัวเองบ้างนะคะ เพราะการให้กำลังใจตัวเองจะช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อไปค่ะ

ถ้าเพื่อนๆ มีเคล็ดลับหรือประสบการณ์ในการเอาชนะความขี้เกียจ อย่าลืมมาแชร์กันนะคะ เราจะได้เป็นกำลังใจให้กันและกันค่ะ

Share your love
OutputBetterResults
OutputBetterResults

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *