8 สุดยอดแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์เพื่อการพัฒนาตนเองในปี 2024 

ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ การเรียนรู้แบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ บทความนี้ขอแนะนำ 8 สุดยอดแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่จะช่วยคุณพัฒนาตัวเองไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการ ร่างกาย จิตใจ หรือแม้แต่ช่วยคุณสร้างคอร์สและขายมันได้ด้วย พร้อมทั้งเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และราคา ช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณมากที่สุด พัฒนาตนเองให้ก้าวล้ำ พร้อมรับมือกับทุกโอกาสและความท้าทายในอนาคต

แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ไหนที่ดีที่สุด? 

1. ดีที่สุดโดยภาพรวม: Udemy ตัวเลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้เรียนทั่วไป

2. ดีที่สุดในด้านการลงมือปฏิบัติ: Skillshare เน้นการเรียนแบบลงมือทำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์

3.ดีที่สุดสำหรับคอร์สจากมหาลัยชั้นนำ: Coursera คอร์สจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบCertificate

4. ดีที่สุดสำหรับคอร์สฟรี: edX มีคอร์สฟรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลองเรียนก่อนตัดสินใจ

5.ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาตัวเองแบบองค์รวม: Mindvalley เน้นการพัฒนาตนเองแบบองค์รวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง

6. ดีที่สุดในการสร้างแรงบันดาลใจ: MasterClass เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้จากผู้เป็นที่สุดของแขนงต่างๆ

7.ดีที่สุดสำหรับการเรียนภาษา: Rocket Languages ช่วยให้คุณเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสนทนาภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว

8. ดีที่สุดสำหรับการสร้างและขายคอร์สออนไลน์: Thinkific แพลตฟอร์มในการสร้างและขายคอร์สออนไลน์ เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆที่ต้องการสร้างรายได้จากความรู้ที่ตนเองมี

1. Udemy 

แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ Udemy

Udemy คือแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบัน Udemy มีคอร์สเรียนกว่า 210,000 คอร์ส ครอบคลุมกว่า 130 หัวข้อ และรองรับ 75 ภาษา

จุดเด่นของ Udemy:

  • ความหลากหลาย: มีคอร์สให้เลือกเรียนอย่างหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ครอบคลุมทั้งทักษะทางเทคนิค ทักษะทางธุรกิจ ภาษา การพัฒนาตนเอง และอื่นๆอีกมากมาย
  • ราคาย่อมเยา: มีทั้งคอร์สเรียนฟรี คอร์สเรียนราคาประหยัดและคอร์สเรียนที่มีราคาสูง  ผู้เรียนสามารถเลือกคอร์สเรียนที่เหมาะกับงบประมาณตัวเองได้
  • มีโปรโมชั่นบ่อย: มีโปรโมชั่นบ่อยมาก ผู้เรียนสามารถซื้อคอร์สเรียนได้ในราคาพิเศษ
  • ใบรับรอง (Certificate): มีใบรับรองเมื่อผู้เรียนเรียนจบหลักสูตรที่เสียเงินนั้นๆ
  • เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ผู้เรียนสามารถเรียนบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือบนมือถือก็ได้
  • ตัวเลือกการเรียนรู้ที่หลากหลาย: มีตัวเลือกการเรียนรู้ที่หลากหลาย  ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนแบบวิดีโอ บทความ หรือ ebook และอื่นๆ
  • มีคอร์สเรียนภาษาไทย: มีคอร์สเรียนที่เป็นภาษาไทยอยู่ด้วย  เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ไม่ค่อยถนัดในภาษาอังกฤษ

ราคาของ Udemy:

  • ราคาโดยทั่วไป: $10-$200 USD (ประมาณ 350-7,000 บาท) 
  • ตัวเลือกการซื้อ:
    • ซื้อคอร์สแบบเดี่ยว: ซื้อคอร์สเรียน Udemy แบบเดี่ยว โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก และสามารถเข้าถึงได้ตลอดชีวิต  $10-$200 USD (ประมาณ 350-7,000 บาท)

แบบสมัครสมาชิก: 

  • Personal Plan ราคา: $29.99 USD/เดือน (ประมาณ 1,040 บาท/เดือน) 

      ทดลองใช้งานฟรี 7 วัน

ข้อดีของ Udemy:

  • มีคอร์สเรียนที่ให้เรียนแบบฟรี ๆ 
  • มีคอร์สให้เลือกเรียนเยอะมาก 210,000+ คอร์ส
  • ครอบคลุมหลากหลายหัวข้อ เช่น การตลาด การพัฒนาตัวเองการเรียนภาษาโปรแกรม การออกแบบ ธุรกิจ และอื่น ๆ
  • ราคาไม่แพง
  • มีโปรโมชั่นบ่อยมาก
  • เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
  • มีแอปมือถือ
  • มีใบรับรองหลังเรียนจบคอร์สนั้น ๆ
  • รองรับภาษาไทย

ข้อเสียของ Udemy:

  • คุณภาพของคอร์สแต่ละคอร์สไม่สม่ำเสมอ ควรดูรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ
  • บางคอร์สมีเนื้อหาที่ล้าสมัย ไม่ได้รับการอัปเดต
  • ใบCerหรือใบรับรองที่ได้หลังจากจบคอร์สเรียนนั้นๆอาจไม่ได้เป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง

Udemy เหมาะกับใคร?:

Udemy เป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพ ที่ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตนเองหรือต่อยอดธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียเงินเรียนในราคาแพง มีหลักสูตรให้เลือกเรียนหลากหลาย และรูปแบบการเรียนที่ยืดหยุ่น 

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจซื้อ

2. Skillshare

แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ Skillshare

Skillshare คือชุมชนการเรียนรู้ออนไลน์ที่เน้นในเรื่องของทักษะความคิดสร้างสรรค์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบ กราฟิก การวาดภาพ การถ่ายภาพ การเขียน และอื่นๆ ปัจจุบัน Skillshare มีคอร์สมากกว่า 25,000 กว่าคอร์ส สอนโดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก

จุดเด่นของ Skillshare:

  • เน้นคอร์สเรียนด้านความคิดสร้างสรรค์: มีคอร์สเรียนด้านความคิดสร้างสรรค์มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ เหมาะสำหรับนักออกแบบ นักเขียน ศิลปิน และนักธุรกิจ
  • ไม่ใช่แค่เพื่อเรียนแต่ยังเป็นชุมชนด้วย: มีชุมชนออนไลน์ที่ผู้เรียนสามารถแบ่งปันผลงาน แลกเปลี่ยนความรู้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ 
  • Active Learning: เน้นการเรียนรู้แบบเชิงรุก คอร์สเรียนมากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่อการลงมือทำ
  • มีคอนเทนต์ใหม่ๆ อยู่เสมอ: มีการเพิ่มคอร์สเรียนใหม่ๆ อยู่เสมอๆ ผู้เรียนจึงมีตัวเลือกคอร์สเรียนที่หลากหลาย
  • เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ผู้เรียนสามารถเรียนบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือบนมือถือก็ได้

ราคาของ Skillshare:

  • ระบบสมาชิก: $32/เดือน (ประมาณ 1,120 บาท)
  • ตัวเลือกการสมัคร:
    • รายเดือน ($32/เดือน ประมาณ 1,120 บาท) หรือ ($14/เดือน ประมาณ 490 บาท) ในกรณีที่จ่ายเป็นรายปี
    • รายปี ($168/ปี ประมาณ 5,880 บาท)

ทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน

ข้อดีของ Skillshare:

  • เน้นทักษะความคิดสร้างสรรค์
  • มีชุมชนการเรียนที่คึกคัก
  • รูปแบบการเรียนที่หลากหลาย
  • ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
  • มีแอปมือถือ ผู้เรียนสามารถเรียนบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนก็ได้

ข้อเสียของ Skillshare:

  • คุณภาพของคอร์สและผู้สอนไม่สม่ำเสมอ
  • ไม่มีใบCertificateให้

Skillshare เหมาะกับใคร?:

Skillshare เป็นแพลตฟอร์มชุมชนออนไลน์ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้หรือพัฒนาทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนคนอื่นๆ ได้ทั่วโลก เพื่อแชร์ผลงาน แลกเปลี่ยนความคิด และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มากกว่าจะมาเรียนเพื่อเก็บCertificate 

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจซื้อ

3. Coursera

Coursera

Coursera คือแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดย Andrew Ng และ Daphne Koller เป็นแพลตฟอร์มแบบ Massive Open Online Course (MOOC) มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

จุดเด่นของ Coursera:

  • คอร์สเรียนจากมหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำระดับโลก: Coursera ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก เช่น Stanford University, Yale University, University of Pennsylvania ทั้งยังมีบริษัทซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่าง Google, IBM, Microsoft และ Meta ในการจัดทำคอร์สเรียนออนไลน์
  • เนื้อหาคุณภาพสูง: คอร์สเรียนบน Coursera ได้รับการออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ เนื้อหาจึงมีความน่าเชื่อถือและทันสมัย
  • ตัวเลือกคอร์สเรียนที่หลากหลาย: Coursera มีคอร์สเรียนมากกว่า 12,000 คอร์ส ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา
  • รูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย: Coursera นำเสนอรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น วิดีโอการสอน บทความ ควิซ และแบบทดสอบ
  • Certificate: มีใบรับรองคุณภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับ

ราคาของ Coursera:

  • แบบเรียนฟรี: สามารถเข้าถึงคอร์สเรียนได้แบบฟรีๆ แต่ไม่ได้รับใบCer
  • สมัครสมาชิก:
    • สมัครเรียนคอร์สเดี่ยว ($49-$79/เดือน ประมาณ 1,715-2,765 บาท)
    • สมัครสมาชิก Coursera Plus ($59/เดือน ประมาณ 2,100 บาท) หรือ ($399/ปี ประมาณ 14,000 บาท) 

ทดลองใช้งานฟรี 7 วัน

ข้อดีของ Coursera:

  • ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
  • เนื้อหามีคุณภาพสูง
  • มีตัวเลือกคอร์สเรียนให้เลือกเยอะ
  • มีใบCertificateให้และที่เป็นที่ยอมรับ
  • รองรับหลายภาษา รวมไปถึงภาษาไทย

ข้อเสียของ Coursera:

  • มีราคาสูง
  • หากยกเลิกการสมัครจะไม่สามารถเข้าถึงคอร์สที่เคยเรียนไว้ได้ 

Coursera เหมาะกับใคร?:

Coursera เป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพที่ต้องการเรียนออนไลน์ที่นำเสนอการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจากสถาบันชั้นนำ ทั้งยังได้รับใบCertificateที่มีคุณค่า ช่วยเพิ่มโอกาสในการหน้าที่การงาน

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจซื้อ

4. edX

edX

edX เป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดย MIT และ Harvard University โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงได้จากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก

จุดเด่นของ edX:

  • เข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างฟรีๆ: edX มีคอร์สเรียนฟรีมากมายที่ให้คุณสามารถเข้าไปเรียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าเลย และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใบCertificateแต่อย่างใดในการเรียนคอร์สฟรี แต่สิ่งที่คุณจะได้คือความรู้และทักษะที่มีคุณค่าจากมหาวิทยาลัยระดับโลก
  • ร่วมกับสถาบันที่มีชื่อเสียง: เช่นเดียวกันกับCoursera edXร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง MIT และ Harvard  ในการจัดทำคอร์สเรียน นี่จึงทำให้คอร์สเรียนมีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานการศึกษาในระดับสูง
  • รูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย: edX นำเสนอหลักสูตรในรูปแบบ MOOCs (Massive Open Online Courses) ซึ่งเปิดกว้างสำหรับผู้เรียนทุกคน โดยไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม หลักสูตรเหล่านี้มีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น วิดีโอ บทความ แบบฝึกหัด
  • การเรียนรู้แบบเชิงลึก(ในตัวเลือกที่เสียเงิน): คอร์สแบบเสียเงินของedX นั้นให้ประสบการณ์ที่มากกว่าคอร์สเรียนฟรี ทั้งยังได้รับCertificateอีกด้วย

ราคาของ edX:

edX มีทั้งแบบเรียนฟรี และแบบเสียเงิน ซึ่งแบบเสียเงินนั้นมีตัวเลือกที่หลากหลายและราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวเลือกของการลงทะเบียน และนี่คือราคาบางส่วนของedX 

  • แบบเรียนฟรี: ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาของคอร์สได้ฟรี แต่ไม่ได้รับประกาศนียบัตร
  • แบบเสียเงิน (ได้รับCertificate):
    • Verified Track: $50 – $300 (ประมาณ 1,750 – 10,500 บาท)

ข้อดีของ edX:

  • คอร์สเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยระดับโลก
  • เป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันและองค์กรชั้นนำ
  • ได้รับCertificateหลังเรียนจบคอร์ส
  • มีโปรแกรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย

ข้อเสียของ edX:

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • จำกัดฟีเจอร์ในส่วนของคอร์สเรียนฟรี เช่นการไม่ได้รับCertificate 
  • จำกัดการมีส่วนร่วมของผู้เรียนและผู้สอน
  • มีหัวข้อที่จำกัด ซึ่งไม่ได้เน้นในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์

edX เหมาะกับใคร?:

edX  เป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เนื้อหาที่มีคุณภาพจากสถาบันชั้นนำ เพิ่มความรู้เพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ ได้รับใบCerที่ได้รับการยอมรับจากหลายองค์กรเพื่อนำไปใส่ในพอร์ตโฟลิโอ สามารถเรียนได้อย่างอิสระ และยังถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหาคอร์สเรียนแบบฟรีๆ ที่นำเสนอโดยสถาบันชื่อดังของโลก

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจซื้อ

5.  Mindvalley

Mindvalley

Mindvalley นั้นมีความแตกต่างจากแพลตฟอร์มตัวอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของทักษะเชิงวิชาการเป็นส่วนใหญ่ แต่Mindvalley นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองโดยเฉพาะ มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้คนปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของตัวเอง ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 โดย Vishen Lakhiani

จุดเด่นของ Mindvalley:

  • เน้นการพัฒนาตนเองและการเปลี่ยนแปลงชีวิต: Mindvalley มุ่งเน้นหลักสูตรด้านการพัฒนาตนเอง บุคลิกภาพ ความคิด และจิตวิญญาณ มากกว่าทักษะด้านเทคโนโลยีหรือวิชาการ
  • รูปแบบการสอนที่เฉพาะตัว: ใช้วิธีการสอนที่ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และแนวคิดเชิงจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการเข้าถึงการพัฒนาตัวเองที่แตกต่างออกไป
  • เน้นการลงมือทำมากกว่าทฤษฎี: หลักสูตรของ Mindvalley มักจะเน้นการประยุกต์ใช้จริง ออกแบบด้วยกิจกรรมแบบปฏิบัติและความท้าทาย ให้ผู้เรียนได้ลงมือทำเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • บรรยากาศและชุมชนที่คึกคัก: Mindvalley สร้างชุมชนออนไลน์ที่สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงผู้คนที่มีแนวคิดเดียวกัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุนตลอดการเรียน
  • อาจารย์ผู้สอนคุณภาพ: Mindvalley คัดสรรผู้นำทางความคิด ผู้มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาตนเอง และผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ เช่น Jim Kwik ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความจำ

ราคาของ Mindvalley:

  • รายเดือน: $99/เดือน (ประมาณ 3,500 บาท)
  • รายปี: $499/ปี (ประมาณ 17,500 บาท)

ข้อดีของ Mindvalley:

  • เน้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองโดยเฉพาะ
  • เนื้อหามีคุณภาพสูง
  • มีชุมชนออนไลน์
  • มีแอปมือถือ

ข้อเสียของ Mindvalley:

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • เนื้อหาบางส่วนอาจไม่ใช่สำหรับทุกคน

Mindvalley เหมาะกับใคร?:

Mindvalley ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใคร หากเป้าหมายในการเรียนรู้ของคุณคือการมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ Mindvalley อาจคือคำตอบที่ดีมาก ด้วยเนื้อหาที่เน้นการเติบโต เสริมสร้างศักยภาพ และมีชุมชนที่คอยให้การสนับสนุน Mindvalley จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้อย่างแท้จริง 

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิก

6. MasterClass

MasterClass

MasterClass ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 โดย Aaron Rasmussen และ David Rogier เป็นแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่นำเสนอโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในหลากหลายสาขา เช่น ภาพยนตร์ ดนตรี การเขียน การทำอาหาร กีฬา และอื่น ๆ 

จุดเด่นของ MasterClass:

  • ผู้สอนซึ่งเป็นคนดังระดับโลก: MasterClass โดดเด่นด้วยการนำเสนอผู้สอนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานในแต่ละสาขา ตั้งแต่เชฟระดับโลกอย่าง Gordon Ramsay นักเขียนมือรางวัลอย่าง Neil Gaiman ไปจนถึงนักกีฬาชื่อดังระดับโอลิมปิกอย่าง Serena Williams
  • สไตล์การผลิตในระดับสูง: MasterClass ทุ่มเทมากๆกับคุณภาพการถ่ายทำ การตัดต่อ ทำให้คอร์สเรียนต่างๆออกมาดูดี เทียบเท่ากับภาพยนตร์สั้น ทำให้การเรียนนั้นน่าสนใจ และตื่นตาตื่นใจ
  • เนื้อหาเชิงลึก: คอร์สต่างๆเจาะลึกในแต่ละหัวข้ออย่างมาก ผู้เรียนจะได้รับทั้งมุมมอง ทักษะ และเคล็ดลับแบบที่หาจากที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ
  • สอนให้คิด ไม่ใช่แค่ทำตาม: แนวทางการสอนของ MasterClass เน้นมากกว่าการบอกวิธีทำแบบทีละขั้นตอน แต่จะเป็นการแชร์แนวคิด ประสบการณ์ และจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ผู้เรียนต้องคิดและประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิต
  • ชุมชนนักเรียน: ใน MasterClass มีพื้นที่ให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้กำลังใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กัน

ราคาของ MasterClass:

สมัครสมาชิก

  • Standard: $120/ปี หรือคิดเป็น $10/เดือน (ประมาณ 4,200 บาท/ปี หรือ 350 บาท/เดือน)
  • Plus: $180/ปี หรือคิดเป็น $15/เดือน (ประมาณ 6,300 บาท/ปี หรือ 525 บาท/เดือน)
  • Premium: $240/ปี หรือคิดเป็น $20/เดือน (ประมาณ 8,400 บาท/ปี หรือ 700 บาท/เดือน)

ไม่มีการสมัครสมาชิกรายเดือน จ่ายเป็นรายปีเท่านั้น 

ข้อดีของ MasterClass:

  • ราคาย่อมเยา
  • นำเสนอหัวข้อมากมายหลากหลายประเภท
  • ได้เรียนกับผู้สอนซึ่งเป็นคนดังระดับโลก
  • เนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพยนตร์
  • เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
  • มีแอปมือถือ

ข้อเสียของ MasterClass:

  • ไม่มีทดลองใช้งานฟรี
  • ไม่มีคอร์สเรียนฟรี
  • ไม่มีCertificate
  • ไม่มีรีวิวคอร์สเรียนแต่ละคอร์ส

MasterClass เหมาะกับใคร?:

MasterClass เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแรงบันดาลใจด้วยการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ซึ่งได้รวบรวมผู้สอนที่เป็นสุดยอดในหลากหลายสาขา เช่น นักแสดง นักดนตรี นักเขียน นักกีฬา เชฟ นักธุรกิจ ดื่มด่ำกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่สุดยอด เรียนรู้แบบเชิงลึก ได้รับทั้งมุมมอง ทักษะ และเคล็ดลับแบบหาไม่ได้ง่ายๆจากเหล่าเซเลบผู้เลื่องชื่อ

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกคอร์สอย่างรอบคอบ พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิก

7. Rocket Languages

Rocket Languages

Rocket Languages ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 เป็นแพลตฟอร์มการเรียนภาษาที่มีบทเรียนภาษาต่างๆให้เลือก มากถึง14ภาษา มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงหัวใจของภาษา นำเสนอการเรียนผ่านบทสนทนาและเสียง บทเรียนภาษาและวัฒนธรรม เครื่องมือการเอาตัวรอด ฝึกฝนการออกเสียง และการใช้แฟลชการ์ด

จุดเด่นของ Rocket Languages:

  • เรียนรู้ผ่านบทสนทนา: นำเสนอการเรียนผ่านวีดิโอเสียง ที่เริ่มต้นด้วยบทสนทนาระดับพื้นฐาน พร้อมทั้งยังมีการถอดเสียงขณะที่กำลังพูดด้วยช่วยให้ผู้เรียนอ่านตามตัวหนังสือที่ปรากฏขณะที่ฟังบทสนทนาไปด้วยได้
  • เรียนรู้ด้วยการมีส่วนร่วม: Rocket Languages กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนด้วยการฝึกฝนการพูดผ่านบทสนทนาที่เจ้าของภาษานั้นๆใช้กันจริงๆ
  • บทเรียนภาษาและวัฒนธรรม: Rocket Languages สอนบทเรียนไวยากรณ์และคำศัพท์ให้แก่ผู้เรียนผ่านบทเรียนที่ชื่อว่า Language & Culture Lessons ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการทำงานของภาษานั้นๆ ผ่านการทำความรู้จักกับวัฒนธรรมของภาษาที่ผู้เรียนเลือกเรียน
  • ระบบติดตามความคืบหน้า:  ผู้เรียนสามารถเห็นความก้าวหน้าของตัวเองได้อย่างชัดเจน มีการสะสมคะแนนพร้อมทั้งการจัดอันดับบนลีดเดอร์บอร์ดเพื่อเปรียบเทียบความก้าวหน้าของตนเองและผู้เรียนคนอื่นๆ ช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนอย่างต่อเนื่อง 
  • เข้าถึงได้อย่างไม่จำกัดตลอดชีวิต: Rocket Languages ไม่มีการสมัครสมาชิกรายเดือน มีเพียงการจ่ายแบบครั้งเดียวเท่านั้น ผู้เรียนก็จะสามารถเข้าถึงบทเรียนได้อย่างไม่จำกัดตลอดชีพ
  • ระบบการจดจำเสียง: ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้การออกเสียงภาษานั้นๆได้อย่างถูกต้อง 
  • เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น: ออกแบบมาสำหรับผู้เริ่มเรียนภาษาที่ต้องการพูดได้อย่างคล่องแคล่ว

ราคาของ Rocket Languages:

จ่ายแบบครั้งเดียว:

  • Level 1 (Beginner to intermediate): $149.95 ประมาณ 5,300บาท
  • Level 1 & 2 (Beginner to advanced): $299.90 ประมาณ 10,500บาท
  • Level 1, 2 & 3 (Beginner to advanced): $449.85 ประมาณ 15,800บาท

มีให้ทดลองใช้งานฟรี

ข้อดีของ Rocket Languages:

  • มีภาษาให้เลือกเรียนมากถึง14ภาษา คือภาษาอังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน เกาหลี รัสเซีย อารบิก ฮินดี โปรตุเกส และภาษามือแบบอเมริกัน
  • จ่ายเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าถึงได้ตลอดชีวิตและไม่จำกัด
  • รูปแบบการเรียนสนุกให้ความรู้สึกเหมือนกับการเล่นเกมด้วยการสะสมคะแนนจัดอันดับ
  • การถอดเสียงจากบทเรียนคลิปเสียง
  • เน้นการผึกการพูด การออกเสียงอย่างถูกต้อง
  • เป็นมิตรต่อผู้เริ่มเรียนภาษา
  • มีแอปมือถือ

ข้อเสียของ Rocket Languages:

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • เน้นการฝึกอย่างซ้ำๆทำให้อาจรู้สึกน่าเบื่อ

Rocket Languages เหมาะกับใคร?:

Rocket Languages ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานภาษาที่อยากเรียนเป็นศูนย์ ต้องการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ทั้งยังมีหลายภาษาให้เลือกเรียน แต่ก็ไม่ใช่แค่สำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้นหากว่าคุณมีพื้นฐานอยู่แล้ว  Rocket Languages ก็มีระดับให้คุณได้เลือกเรียนถึง3ระดับด้วยกันตั้งแต่BeginnerไปจนถึงระดับAdvanced

หมายเหตุ:

  • ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโปรโมชั่น และค่าเงิน
  • ผู้เรียนควรเลือกภาษาและระดับที่เหมาะสม พิจารณารีวิวจากผู้เรียนก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิก

8. Thinkific

Thinkific

Thinkific แตกต่างไปจากแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ในลิสต์นี้ เพราะThinkific ไม่ใช่แพลตฟอร์มสำหรับการเรียน แต่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างและขายคอร์สเรียนออนไลน์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง โฮสต์วิดีโอ ขายคอร์สออนไลน์ และจัดการธุรกิจการสอนออนไลน์ของตัวเองได้

จุดเด่นของ Thinkific:

  • ใช้งานง่าย: มีอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน สามารถสร้างและจัดการคอร์สออนไลน์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิค ไม่ต้องเขียนโค้ดให้ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก่อนก็ได้
  • เครื่องมือการสร้างคอร์สเรียน: ใช้การสร้างคอร์สแบบลากวาง ทั้งยังมีธีมไว้ให้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถที่จะเพิ่มเนื้อหาประเภทใดก็ได้ลงในคอร์สไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่ควิซ 
  • เครื่องมือครบครัน: มีเครื่องมือครบครันสำหรับการสร้างคอร์สออนไลน์ เช่น เครื่องมือสร้างวิดีโอ เครื่องมือสร้างแบบทดสอบ เครื่องมือสร้าง Landing Page
  • ตัวเลือกการขายที่ยืดหยุ่น: มีตัวเลือกการขายที่หลากหลาย ผู้สร้างเนื้อหาสามารถเลือกขายคอร์สออนไลน์แบบเดี่ยว หรือแบบรวมเป็นแพ็กเกจก็ได้
  • ชุมชนนักเรียน: สามารถสร้างชุมชนนักเรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้
  • เครื่องมือการตลาด: มีเครื่องมือการตลาดที่ช่วยให้ผู้สร้างเนื้อหาสามารถโปรโมทคอร์สออนไลน์ของตัวเองได้

ราคาของ Thinkific:

Thinkific มีหลายรูปแบบการสมัครสมาชิก:

  • ฟรี:
  • Basic: $49/เดือน หรือ $36/เดือน ในกรณีที่จ่ายเป็นรายปี (ประมาณ 1,720บาท/เดือน หรือ 1,260บาท/เดือน)
  • Start: $99/เดือน หรือ $74/เดือน ในกรณีที่จ่ายเป็นรายปี (ประมาณ 3,500บาท/เดือน หรือ 2,600บาท/เดือน)
  • Grow: $199/เดือน หรือ $149/เดือน ในกรณีที่จ่ายเป็นรายปี (ประมาณ 7,000บาท/เดือน หรือ  5,220บาท/เดือน)

มีให้ทดลองใช้งานฟรี

ข้อดี:

  • มีแพ็คเกจฟรี สามารถสร้างคอร์สเรียนได้ฟรี
  • มีคอร์สให้เรียนฟรีด้วย
  • ใช้งานง่าย
  • ไม่ต้องเขียนโค้ด
  • มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยในการโปรโมทคอร์สเรียน
  • สร้างชุมชนผู้เรียนได้

ข้อเสีย:

  • ฟีเจอร์บางตัวจำกัดในแพ็กเกจฟรี
  • ฟีเจอร์บางตัวมีจำกัดในแพ็กเกจราคาถูก ต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้ใช้งานตัวเลือกอื่นๆมากขึ้น

Thinkific เหมาะกับใคร?:

Thinkific เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆที่ต้องการสร้างรายได้จากความรู้ที่ตนเองมีด้วยการสร้างและขายคอร์สออนไลน์ ด้วยความที่เป็นมิตรกับผู้เริ่มต้นอย่างมาก ใช้งานง่าย มีเครื่องมือครบครัน และสามารถสร้างคอร์สได้อย่างฟรีๆ อีกด้วย Thinkific จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการเริ่มต้นสร้างคอร์สออนไลน์  

สรุป

บทความนี้ได้แนะนำ 8 แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ยอดนิยมในปี 2024 พร้อมเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และราคา หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของตัวคุณเองนะคะ

ตารางสรุป:

แพลตฟอร์มคืออะไร?ข้อดีข้อเสียราคาเหมาะกับใคร?
Udemyแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ขนาดใหญ่ มีคอร์สหลากหลายคอร์สหลากหลาย ราคาถูก เข้าถึงง่ายคุณภาพคอร์สไม่สม่ำเสมอ เน้นสอนทักษะทั่วไปคอร์สฟรี – 7,000+บาท/คอร์สผู้เรียนทั่วไป ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
Skillshareแพลตฟอร์มเน้นคอร์สสอนทักษะการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เน้นคอร์สสอนทักษะทางความคิดสร้างสรรค์และมีชุมชนที่คึกคักคุณภาพคอร์สไม่สม่ำเสมอ และไม่มีCertificate1,120บาท/เดือนผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาทักษะการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์
Courseraแพลตฟอร์มคอร์สออนไลน์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำคอร์สดีๆที่มีคุณภาพสูง ได้ใบCertificateจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกราคาค่อนข้างสูง 2,100บาท/เดือนผู้เรียนที่ต้องการเรียนรู้ทักษะแบบเข้มข้น ต้องการCertificateจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ
edXแพลตฟอร์มคอร์สออนไลน์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำคอร์สคุณภาพสูง ได้Certificateจากมหาวิทยาลัยระดับโลก มีคอร์สฟรีมากมายให้ลองเลือกราคาค่อนข้างสูง ฟรี – 10,500บาท/คอร์สผู้เรียนที่ต้องการเรียนรู้ทักษะแบบเข้มข้น ต้องการใบCerจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ
Mindvalleyแพลตฟอร์มคอร์สเรียนพัฒนาตนเองเน้นคอร์สพัฒนาตนเอง พัฒนาศักยภาพ ผู้สอนเป็นผู้เชี่ยวชาญราคาค่อนข้างสูง 3,500บาท/เดือนผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาตนเองโดยภาพรวม
MasterClassแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์สอนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงผู้สอนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน เนื้อหามีคุณภาพสูงไม่มีให้ทดลองเรียนฟรีและไม่มีใบCer4,200 – 8,400บาท/ปีผู้เรียนที่ต้องการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงระดับโลก
Rocket Languagesแพลตฟอร์มการเรียนภาษามีภาษาให้เลือกเรียนเยอะ เน้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ราคาค่อนข้างสูง5,300 – 15,800บาท/ภาษาผู้เรียนที่ต้องการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
Thinkificแพลตฟอร์มสร้างและขายคอร์สออนไลน์ใช้งานง่าย เครื่องมือครบครัน ปรับแต่งได้ฟีเจอร์จำกัดในแพ็จเกจฟรีฟรี – 7,000บาท/เดือนผู้สร้างที่ต้องการสร้างคอร์สออนไลน์ 

หมายเหตุ: ราคาและฟีเจอร์อาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบข้อมูลล่าสุดกับเว็บไซต์ของแพลตฟอร์มแต่ละแห่ง

คำแนะนำ:

  • เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของคุณ
  • อ่านรีวิวจากผู้ใช้ก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิก
  • ทดลองใช้งานฟรี (ถ้ามี)
  • ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ วางแผนการเรียน
  • ลงมือทำ ฝึกฝน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

หมายเหตุ:

  • ข้อมูลในตารางสรุปเป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆ ผู้ใช้ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจสมัครสมาชิก
  • ยังมีแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อีกมากมาย บทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน
Share your love
OutputBetterResults
OutputBetterResults

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *