เคยรู้สึกหมดไฟ ไม่อยากทำอะไรเลยไหมคะ? หรือมีเป้าหมายแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ถ้าใช่ บางทีคุณอาจกำลังต้องการ “แรงจูงใจ” อยู่ก็ได้
ในบทความนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปสำรวจโลกของแรงจูงใจ ตั้งแต่ทำความเข้าใจว่าแรงจูงใจ คืออะไร? มีกี่ประเภท ไปจนถึงเคล็ดลับในการสร้างและรักษาแรงจูงใจให้ลุกโชนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน
แรงจูงใจ คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ
เคยไหมคะ ที่บางวันตื่นมาแล้วรู้สึกเหมือนไฟมอด ไม่อยากทำอะไรเลย หรือบางทีก็มีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
แรงจูงใจ (Motivation) คือ พลังขับเคลื่อนภายในที่กระตุ้นให้เราลงมือทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนา ความสนใจ หรือความเชื่อในคุณค่าของสิ่งนั้นๆ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลัง นำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย ความสุข และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ถ้าจะให้นิยามง่ายๆ มันก็เหมือนกับ “เชื้อเพลิง” ที่คอยขับเคลื่อนชีวิตเรา เหมือนกับรถยนต์ที่ต้องการน้ำมัน รถไฟที่ต้องการถ่านหิน หรือจรวดที่ต้องการเชื้อเพลิงในการทะยานขึ้นสู่อวกาศ ชีวิตของเราก็ต้องการแรงจูงใจในการไปข้างหน้า ไปสู่เป้าหมายที่เราวาดฝันไว้
ทำไมแรงจูงใจถึงสำคัญนักล่ะ?
ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าเราไม่มีแรงจูงใจเลย เราคงไม่อยากลุกจากเตียงตอนเช้า ไม่อยากไปทำงานหรือไปเรียน ไม่อยากทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง ชีวิตคงน่าเบื่อสุดๆ ไปเลยใช่ไหมคะ?
แรงจูงใจเป็นเหมือนพลังวิเศษที่ช่วยให้เรา:
- บรรลุเป้าหมาย: ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็กๆ อย่างการลดน้ำหนัก หรือเป้าหมายใหญ่ๆ อย่างการสร้างธุรกิจของตัวเอง แรงจูงใจจะช่วยผลักดันให้เราลงมือทำ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
- มีความสุขกับชีวิต: เมื่อเรามีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ เราจะรู้สึกกระตือรือร้น มีความสุข และรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย
- พัฒนาตนเอง: แรงจูงใจกระตุ้นให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก้าวออกจาก Comfort Zone และเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน
ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆ กำลังรู้สึกหมดไฟ หรือไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ลองมองหาแรงจูงใจของคุณดูนะคะ อาจจะเป็นความฝันในวัยเด็ก สิ่งที่คุณอยากทำมานานแล้ว หรือแม้แต่คนที่คุณรักและอยากทำให้เขาภูมิใจก็ได้ เมื่อคุณเจอแรงจูงใจที่ใช่แล้ว ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน!
ประเภทของแรงจูงใจ ทำความกับรู้จักแรงขับเคลื่อนภายในและภายนอก
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมบางคนถึงทำอะไรได้ด้วยความรักและความชอบ ในขณะที่บางคนต้องการ “ของล่อใจ” ถึงจะลงมือทำได้? นั่นเป็นเพราะแรงจูงใจของคนเรามี 2 แบบใหญ่ๆ ค่ะ คือ แรงจูงใจภายใน และ แรงจูงใจภายนอก
แรงจูงใจภายใน: เสียงเรียกร้องจากหัวใจ
แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) คือแรงขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากข้างในตัวเราเองค่ะ มันมาจากความชอบ ความสนใจ หรือคุณค่าที่เราให้ความสำคัญ เช่น
- ความรักในการเรียนรู้: บางคนชอบอ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เพราะรู้สึกสนุกและเติมเต็มตัวเอง
- ความหลงใหลในงานศิลปะ: ศิลปิน นักดนตรี หรือนักเขียนหลายคนสร้างสรรค์ผลงานเพราะความรักในงานศิลปะ ไม่ได้หวังแค่ชื่อเสียงหรือเงินทอง
- ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น: อาสาสมัคร หรือผู้ที่ทำงานเพื่อสังคม มักมีแรงจูงใจภายในที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
ข้อดีของแรงจูงใจภายในคือ มันมาจากตัวเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรางวัลหรือคำชมจากภายนอก ทำให้เรามีพลัง มีความสุข และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ แถมยังยั่งยืนกว่าด้วยนะคะ เพราะต่อให้ไม่มีใครเห็น หรือไม่มีอะไรมาล่อใจ เราก็ยังอยากจะทำมันต่อไปอยู่ดี ถ้าเพื่อนๆ สนใจอยากรู้ลึกเรื่องแรงจูงใจภายในมากกว่านี้ ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ Understanding the Power of Intrinsic Motivation
แรงจูงใจภายนอก: แรงดึงดูดจากโลกภายนอก
แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) คือแรงขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายนอกตัวเราค่ะ เช่น รางวัล เงินทอง คำชม หรือการยอมรับจากสังคม ตัวอย่างเช่น
- การทำงานเพื่อเงินเดือน: หลายคนทำงานเพราะต้องการเงิน เพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
- การแข่งขันเพื่อชัยชนะ: นักกีฬาหลายคนฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าเหรียญรางวัล
- การเรียนเพื่อให้ได้เกรดดีๆ: นักเรียนบางคนตั้งใจเรียนเพราะอยากได้คะแนนสูงๆ หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ
แรงจูงใจภายนอกก็มีประโยชน์นะคะ มันสามารถกระตุ้นให้เราลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้ แต่ข้อเสียคือ มันอาจไม่ยั่งยืนเท่าแรงจูงใจภายในค่ะ ถ้าเราทำอะไรเพียงเพราะหวังผลตอบแทน เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เราก็อาจหมดกำลังใจได้ง่ายๆ
แล้วเราควรมีแรงจูงใจแบบไหนดีล่ะ?
จริงๆ แล้ว แรงจูงใจทั้งสองแบบต่างก็มีบทบาทสำคัญในชีวิตเราค่ะ เราอาจมีแรงจูงใจภายในในการทำงานอดิเรกที่เรารัก แต่ก็มีแรงจูงใจภายนอกในการทำงานประจำเพื่อหารายได้
สิ่งสำคัญคือการ รู้จักตัวเอง และ เข้าใจว่าอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของเรา เพื่อที่เราจะได้เลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยความสุขและความเต็มใจ ไม่ใช่ฝืนใจทำเพราะจำเป็น
ลองสำรวจตัวเองดูนะคะว่า ในแต่ละกิจกรรมที่เพื่อนๆ ทำ มีแรงจูงใจแบบไหนอยู่เบื้องหลัง และลองปรับสมดุลระหว่างแรงจูงใจภายในและภายนอก เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและสมดุลมากขึ้นค่ะ
สร้างแรงจูงใจในการเรียน เปลี่ยนจาก”ต้องเรียน” เป็น “อยากเรียน”
หลายคนคงเคยรู้สึกว่า การเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ ต้องฝืนใจตัวเองไปเรียน ไปอ่านหนังสือสอบ บางทีก็รู้สึกว่าเรียนไปทำไม ไม่เห็นจะได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ความรู้สึกแบบนี้แหละค่ะ ที่ทำให้เราขาด “แรงจูงใจในการเรียน”
ปัญหาเรื่องแรงจูงใจในการเรียนที่พบได้บ่อย
- ไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนกับชีวิตจริง: หลายครั้งที่เราเรียนเนื้อหาที่ดูห่างไกลจากชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกว่าเรียนไปก็เท่านั้น
- ความกดดันจากการแข่งขันและเกรด: บางทีเราก็โฟกัสแต่เรื่องคะแนน จนลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราเรียนเพื่ออะไร
- วิธีการสอนที่น่าเบื่อ: การบรรยายแบบท่องจำ หรือการบ้านที่เยอะเกินไป ก็ทำให้เราหมดสนุกกับการเรียนได้ง่ายๆ
วิธีค้นหาแรงบันดาลใจในการเรียน
- เชื่อมโยงการเรียนกับเป้าหมายชีวิต: ลองถามตัวเองดูค่ะว่า เราอยากเป็นอะไรในอนาคต? ความรู้ที่เราเรียนอยู่จะช่วยให้เราไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? เมื่อเห็นความเชื่อมโยง เราก็จะมีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้น
- สร้างความสนใจในวิชาเรียน: ถ้าเรามองว่าวิชาเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ ลองหาทางทำให้มันน่าสนใจขึ้นดูค่ะ เช่น อ่านหนังสือเพิ่มเติม ดูสารคดี หรือคุยกับคนที่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ
- ตั้งเป้าหมายในการเรียน: ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายใหญ่ๆ เสมอไปนะคะ แค่ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน เช่น อ่านหนังสือให้จบ 1 หน้า ทำแบบฝึกหัดให้เสร็จ หรือเข้าเรียนทุกคาบ ก็ช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการเรียนได้แล้ว
เทคนิคเพิ่มแรงจูงใจในการเรียน
- ให้รางวัลตัวเอง: เมื่อเราทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองบ้างนะคะ อาจจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมที่ชอบ ก็ช่วยให้เรามีกำลังใจในการเรียนต่อไปได้
- หาเพื่อนร่วมทาง: การเรียนเป็นกลุ่ม หรือมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกัน ก็ทำให้การเรียนสนุกขึ้น และไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
- สร้างบรรยากาศในการเรียนที่ดี: จัดโต๊ะหนังสือให้เป็นระเบียบ หาเพลงบรรเลงเบาๆ ฟัง หรือเลือกสถานที่ที่เงียบสงบ ก็ช่วยให้เราจดจ่อกับการเรียนได้ดีขึ้น
จำไว้นะคะเพื่อนๆ การเรียนไม่ใช่แค่การท่องจำ หรือการทำตามหน้าที่ แต่มันคือการเปิดโลกทัศน์ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นในทุกๆ วัน เมื่อเรามีแรงจูงใจในการเรียน เราก็จะค้นพบความสุขและความหมายในการเรียนรู้ และพร้อมที่จะเติบโตไปเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ
สร้างแรงจูงใจในการทำงาน สร้างความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน
เพื่อนๆ คะ การทำงานเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรา ใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของวันไปกับมันเลยทีเดียว แต่ถ้าเราทำงานไปวันๆ แบบไม่มีแรงจูงใจ ก็คงเหมือนเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล ไม่รู้ว่าจะไปฝั่งไหน และเมื่อไหร่จะถึง
ความสำคัญของแรงจูงใจในการทำงาน ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆ
แรงจูงใจในการทำงาน ไม่ได้หมายความแค่ว่าเรา “อยากได้เงินเดือน” เท่านั้นนะคะ แต่มันคือความรู้สึกที่อยากทำ อยากพัฒนา อยากมีส่วนร่วม และอยากเห็นผลงานของตัวเองเติบโตไปพร้อมกับองค์กร
เมื่อเรามีแรงจูงใจในการทำงาน เราก็จะ:
- ทำงานอย่างมีความสุข: ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน ก็จะรู้สึกสนุกและท้าทาย เพราะเรารู้ว่ากำลังทำสิ่งที่มีความหมาย
- มีประสิทธิภาพมากขึ้น: เมื่อเรามีแรงจูงใจ เราจะตั้งใจทำงานมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น
- มีความคิดสร้างสรรค์: แรงจูงใจช่วยกระตุ้นให้เราคิดนอกกรอบ มองหามุมมองใหม่ๆ และนำเสนอไอเดียที่สร้างสรรค์
- มีความผูกพันกับองค์กร: เมื่อเรารู้สึกว่างานที่ทำมีความหมาย และได้รับการยอมรับจากองค์กร เราจะมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม และอยากร่วมสร้างความสำเร็จไปด้วยกัน
วิธีกระตุ้นแรงจูงใจในการทำงาน
- ค้นหาความหมายในงานที่ทำ: ลองถามตัวเองดูค่ะว่า งานที่เราทำมีประโยชน์ต่อใครบ้าง? เราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้กับลูกค้า หรือสังคม? เมื่อเห็นคุณค่าในงานที่ทำ เราก็จะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น
- พัฒนาตนเองอยู่เสมอ: การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ จะทำให้เรารู้สึกก้าวหน้า และมีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
- สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี: การมีเพื่อนร่วมงานที่ดี หัวหน้างานที่ให้การสนับสนุน และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการทำงาน ก็ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานได้ค่ะ
แรงบันดาลใจในการทำงานจากคนดัง
- สตีฟ จ็อบส์: ผู้ก่อตั้ง Apple เคยกล่าวไว้ว่า “The only way to do great work is to love what you do. If you haven’t found it yet, keep looking. Don’t settle.” (วิธีเดียวที่จะทำงานที่ยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังไม่เจอมัน จงค้นหาต่อไป อย่าหยุด)
- โอปราห์ วินฟรีย์: พิธีกรชื่อดังระดับโลก เคยผ่านความยากลำบากในชีวิตมามากมาย แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ และใช้แรงจูงใจจากประสบการณ์ของตัวเอง มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
แรงจูงใจในการทำงานเป็นสิ่งที่เราสร้างและหล่อเลี้ยงได้ค่ะ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ และค้นหาสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและมีพลังในการทำงานดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่า การทำงานไม่ใช่แค่การหาเลี้ยงชีพ แต่มันคือเส้นทางสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิตค่ะ
10 เคล็ดลับสร้างและรักษาแรงจูงใจให้ลุกโชนอยู่เสมอ
เพื่อนๆ คะ เราได้พูดถึงความสำคัญของแรงจูงใจไปแล้ว ทั้งในการเรียนและการทำงาน แต่คำถามสำคัญก็คือ เราจะสร้างและรักษาแรงจูงใจให้ลุกโชนอยู่เสมอได้อย่างไร? วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาฝากกันค่ะ
1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย
เป้าหมายเป็นเหมือนเข็มทิศที่คอยนำทางเราค่ะ ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะหลงทางได้ง่ายๆ ลองตั้งเป้าหมายที่ท้าทายความสามารถของเราบ้างนะคะ เพราะความท้าทายจะช่วยกระตุ้นให้เราอยากพัฒนาตัวเอง และทำให้เรารู้สึกภูมิใจเมื่อทำสำเร็จ
2. แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อยๆ
เป้าหมายใหญ่ๆ อาจดูน่ากลัวและไกลเกินเอื้อม ลองแบ่งมันออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ ที่ทำได้ง่ายขึ้นดูค่ะ เมื่อเราทำเป้าหมายย่อยๆ สำเร็จทีละขั้น เราก็จะรู้สึกมีกำลังใจ และเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง
3. จดบันทึกความก้าวหน้า
การจดบันทึกความก้าวหน้าเป็นเหมือนการสะสมเหรียญรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับตัวเองค่ะ เมื่อเรามองย้อนกลับไปดู เราจะเห็นว่าเราทำอะไรสำเร็จไปบ้างแล้ว และมันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และแรงจูงใจให้เราไปต่อ
4. มองหาแรงบันดาลใจจากคนรอบข้าง
คนรอบตัวเราอาจเป็นแหล่งแรงบันดาลใจชั้นดี ลองสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่กำลังพยายามทำตามความฝันของตัวเองดูค่ะ เรื่องราวของพวกเขาอาจจุดประกายความคิด และทำให้เรามีกำลังใจในการเดินตามเส้นทางของเรา
5. อย่ากลัวความล้มเหลว
ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตค่ะ ไม่มีใครที่ทำอะไรสำเร็จไปหมดทุกอย่างตั้งแต่ครั้งแรก อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาด เพราะทุกความล้มเหลวจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น
6. ฉลองความสำเร็จ
เมื่อเราทำอะไรสำเร็จ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองบ้างนะคะ การฉลองความสำเร็จจะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง และมีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ต่อไป
7. หา “Why” ของคุณให้เจอ
Simon Sinek นักเขียนชื่อดัง กล่าวไว้ว่า “People don’t buy what you do, they buy why you do it.” (คนไม่ได้ซื้อสิ่งที่คุณทำ แต่พวกเขาซื้อเหตุผลที่คุณทำมัน) การค้นหา “Why” หรือเหตุผลที่แท้จริงในการทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เรามีแรงจูงใจที่ยั่งยืน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ
8. ดูแลสุขภาพกายและใจ
สุขภาพกายและใจที่แข็งแรงเป็นพื้นฐานสำคัญของแรงจูงใจค่ะ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้เรามีพลังในการทำสิ่งต่างๆ และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น
9. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันค่ะ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ และหมดกำลังใจ โฟกัสที่เป้าหมายของตัวเอง และพยายามทำให้ดีที่สุดในแบบของเราดีกว่าค่ะ
10. เริ่มต้นลงมือทำ!
เคล็ดลับทั้งหมดนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่เริ่มต้นลงมือทำค่ะ ก้าวแรกอาจจะยาก แต่เมื่อเราเริ่มลงมือทำแล้ว เราจะพบว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด และแรงจูงใจของเราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าที่เราทำได้
ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่า แรงจูงใจเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ที่จะช่วยให้คุณไปถึงฝันได้อย่างแน่นอนค่ะ!
สรุป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้นะคะ ไม่ว่าตอนนี้เพื่อนๆ จะอยู่ในช่วงเวลาไหนของชีวิต กำลังเผชิญกับความท้าทายอะไร หรือมีเป้าหมายอะไรที่อยากไปให้ถึง ขอให้จำไว้เสมอว่า แรงจูงใจคือพลังวิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคนค่ะ
เมื่อเรามีแรงจูงใจ เราก็จะสามารถ:
- เอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างไม่ย่อท้อ
- ค้นพบความสุขและความหมายในสิ่งที่ทำ
- พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นและดีขึ้นในทุกๆ วัน
- ไปถึงเป้าหมายที่วาดฝันไว้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น อย่าปล่อยให้แรงจูงใจของคุณมอดดับลงไปนะคะ ค้นหาสิ่งที่คุณรัก ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และลงมือทำอย่างเต็มที่ แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตของคุณจะสดใสและมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ
ถ้าเพื่อนๆ มีคำถาม หรืออยากแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับแรงจูงใจ สามารถคอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลยนะคะ เรายินดีรับฟังและพูดคุยกับเพื่อนๆ เสมอค่ะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ